ความกตัญญ

“ความกตัญญู”
“ความกตัญญู” เป็นคุณธรรมพื้นฐานประการแรกที่พึงมี
อยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนเพราะกว่าที่เราจะเติบโตมาได้ต้องอาศัย
ทั้งผู้ให้กำเนิดและการเลี้ยงดูด้วยความรักจากบุพการีทั้งสอง แม้เหล่า
พุทธอริยะครั้งอดีตกาลต่างเทอดทูนน้อมปฏิบัติในคุณธรรมข้อนี้
แต่คนในปัจจุบันกลับหลงลืมไม่ใส่ใจต่อคุณธรรมอันสูงส่ง
เพื่อเป็นการฟื้นฟูและปลุกจิตสำนึกที่ดีงามให้กลับคืนมา จึงได้
จัดพิมพ์หนังสือ“พระคุณพ่อแม่ยากแท้จะทดแทน” ซึ่งเป็นพระสูตร
ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุพการี
ทั้งสอง และเพื่อปลูกฝังคุณธรรมอันดีงามนี้ให้กับเยาวชน จึงได้อาศัยรูปภาพประกอบเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงจิตสำนึกที่ดี และหวังให้คุณพ่อ
คุณแม่เป็นเพื่อนลูกๆ ในการอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นการวางรากฐาน
ให้เขาได้เติบโตอยู่ในครรลองแห่งธรรมเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐอย่างแท้จริงดังที่ได้สดับมา
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าไปประทับอยู่ ณ เชตวันอนาถบิณฑิการาม แห่งเมืองสาวัตถีพร้อมด้วยพระภิกษุ ๒,๕๐๐ รูป และเหล่าคฤหัสถ์ผู้ศรัทธาอันสูงยิ่งอีกประมาณ ๓๘,๐๐๐ คน บัดนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จออกจากเชตวันอนาถบิณฑิการาม นำพระสาวกและบรรดาคฤหัสถ์ทั้งหลายเดินทางมุ่งสู่ดินแดนทางตอนใต้ ระหว่างทางได้ทอดพระเนตรเห็นกระดูกมนุษย์กองหนึ่งเมื่อทรงพิจารณาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้น้อมพระวรกายก้มลงกราบกองกระดูกด้วยความเคารพ พระอานนท์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากเห็นดังนั้น ก็ให้รู้สึกแปลกใจ
จึงได้พนมมือกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นสัพพัญญูทั้งสามโลก
เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมหาเมตตา มหากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นที่
เคารพของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เหตุไฉนจึงมากราบไหว้กองกระดูกเช่นนี้ หรือเพราะมีกรรมพัวพันอันใด พระเจ้าข้า !”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระคุณของแม่
จักกระทำทดแทน
ได้อย่างไร พระเจ้าข้า”

“ดูกรอานนท์ จริงอยู่ แม้ท่านจะเป็นอัครสาวกเอกของเรา ออกบวชเป็นผู้ไม่ครองเรือน แต่ก็ยังรู้ไม่กว้างขวาง กระดูกกองนี้อาจจะเป็นบรรพชนของเรา เป็นบิดามารดาเมื่อครั้งอดีตชาติที่ผ่านมา
ซึ่งล้วนมีมูลปัจจัย ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้แสดงความเคารพกราบไหว้
ดูกรอานนท์ เธอจงนำเอากระดูกกองนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน
หากเป็นกระดูกของบุรุษเพศ กระดูกนั้นจะเป็นสีขาวและหนัก หากเป็น
กระดูกของสตรีเพศ กระดูกนั้นจะเป็นสีดำและเบา”
พระอานนท์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขณะที่บุรุษเพศยังมีชีวิตอยู่ เขาเหล่านั้นสวมอาภรณ์ รองเท้าและหมวก ท่าทางเคร่งขรึมองอาจเห็นแล้วย่อมรู้ได้ทันทีว่าเป็นบุรุษ ส่วนสตรีเพศนั้นเล่า ขณะยังมีชีวิตอยู่ เธอผัดหน้า
ทาแป้ง ใช้เครื่องหอมชโลมกาย เมื่อเห็นการแต่งกายย่อมรู้ได้ว่า
เป็นสตรี แต่มาบัดนี้ถึงกาลดับล่วงแล้วกลายเป็นกองกระดูกซึ่งคล้ายกัน
ข้าพระองค์จะจำแนกกระดูกเหล่านี้ได้อย่างไร พระเจ้าข้า !”
“ดูกรอานนท์ หากเป็นบุรุษ เมื่อครั้งยังมีชีวิต ได้เข้าวัดฟังธรรม ถือศีล บูชาพระรัตนตรัย สวดพระนามพระพุทธา ดังนั้นกระดูกจึงมี
สีขาวและหนัก ส่วนสตรีนั้น สติปัญญามักเป็นรองบุรุษเพศ จิตใจและอารมณ์จึงอ่อนไหว ทำให้ตกสู่ห้วงความหลงใหลในความรักผูกพันได้ง่ายกว่า ทั้งยังต้องรับภาระอันหนักในการให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร
ซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของสตรี เมื่อให้กำเนิดบุตรหนึ่งคน
ต้องให้นํ้านมเลี้ยงลูก ซึ่งนํ้านมนั้นกลั่นออกจากสายเลือดจำนวนมาก ลูกหนึ่งคนดื่มนมแม่แปดไหสี่เหยือก ทำให้สตรีเพศสุขภาพไม่สู้แข็งแรง ร่างกายผ่ายผอมซีดเซียว ผิวพรรณหยาบกร้านเป็นริ้วรอย กระดูกจึงเป็นสีดำและมีนํ้าหนักเบา เช่นนี้แล”
พระอานนท์ได้ฟังดังนั้น รู้สึกซาบซึ้ง นํ้าตาไหลด้วยความรู้สึกสำนึกเสียใจ ครั้นแล้วจึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระคุณของแม่นั้นจักกระทำทดแทนได้อย่างไร พระเจ้าข้า ?”
พระผู้มีพระภาคตรัสเทศนาแก่พระอานนท์ว่า
“บัดนี้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟัง เราจะเทศนาแยกแยะเป็นลำดับ”

ตั้งแต่แม่เริ่มตั้งครรภ์จนครบกำหนดคลอด

ประมาณสิบเดือน แม่ต้องทนลำบากทุกข์ทรมาน
เดือนแรก จุติเกิดในครรภ์แม่
ดุจหยาดนํ้าค้างบนใบหญ้ายาก
หนักหนารักษาให้ถึงเย็น ยามเช้าเป็นหยดใสงามระยับตกสายพลันก็แห้งเหือดหายไป
ล่วงมาถึงเดือนที่สอง หยดนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นของเหลวดั่งก้อนไขจากนํ้าค้างเปลี่ยนรูปไปพ้นมาได้เกิดเป็นครรภ์
ล่วงมาถึงเดือนที่สาม วิงเวียนแลคลื่นเหียนทั้งอาเจียนกระสับกระส่ายจากก้อนไขก็กลับกลายเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนเลือด
ล่วงมาถึงเดือนที่สี่ ครรภ์น้อยๆ เริ่มปรากฏจากก้อนเลือดก่อเกิดเป็นทารกผนึกรวมกันเป็นอวัยวะห้า
ล่วงมาถึงเดือนที่ห้า อวัยวะสำคัญสัดส่วนครบเผยได้เห็นกอรป
ด้วยองค์เบญจะหนึ่งศีรษะแขนขารวมห้าองค์
ล่วงมาถึงเดือนที่หก ประสาททั้งหกเริ่มรับรู้ หกนี้คืออะไร กาย หู ตา
จมูก ปาก ความคิดเป็นฉักกะรวมกันเป็นประสาทหก
ล่วงมาถึงเดือนที่เจ็ด ทารกภายในเกิดร่างกายเป็นโครงร่าง
ก่อกระดูกรวมข้อต่อสามร้อยหกสิบผสานเริ่มทำงานรูขุมขนแปดหมื่น
สี่พัน
ล่วงมาถึงเดือนที่แปด อวัยวะประสาทสมองสนองรับเกิดสติ
แลความคิดปัญญาญาณอีกทั้งเก้าทวารบังเกิด...
แม่ตั้งครรภ์ล่วงมาถึงเดือนที่เก้า ทารกเริ่มดูดซับแร่ธาตุจากอาหารที่แม่กินเข้าไป อุดมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารผลไม้นานา เมื่อย่อยแล้วเป็นโลหิตผ่านไปเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตในครรภ์ ร่างกายแม่ในบัดนี้มีสิ่งเคลื่อนไหวขึ้นและลง ประหนึ่งผิวดินผืนเกิดขุนเขาผุดตั้งตระหง่าน
ขุนไศลทั้งสามยอด หนึ่งนั้นนามพระสุเมรุ รองมาเป็นเขาหนี้เวร ยอดที่สามเขาโลหิต กล่าวเปรียบขุนเขาถล่มทลายมาเป็นหนึ่งสายเลือดแห่งมารดากลายเป็นอาหารของลูกน้อย
แม่ตั้งครรภ์ล่วงมาถึงเดือนที่สิบ ร่างกายสมบูรณ์ครบถือกำเนิด
หากเป็นบุตรกตัญญูมือทั้งสองพนมไหว้ ถือเกิดเป็นมงคล คลอดออกมาอย่างปลอดภัย ไม่ทำให้แม่นั้นทรมานไม่ให้มารดาต้องปวดร้าว
ไม่ให้มารดาต้องทุกข์ทน หากเป็นบุตรอกตัญญู ขอจงรู้ก่อบาปใหญ่อนันตริยกรรมไซร้ มักทำร้ายครรภ์มารดาปานดั่งว่าจะฉีกใจให้แหลกลาญ

 

ที่มา
http://www.rvpprinting.com/products/view.php?id=55

 

 



รูปภาพ
Top